วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จดหมายสมัครงาน



                                                                            2/123 ซอย118 ถนนลาดพร้าว                                                                                  แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง
                                                       กทม. 10310
                                                                                                          
   18 กุมภาพันธ์ 2556

เรื่อง ขอสมัครงาน
เรียน ผู้จัดการฝ่ายบุคคล บริษัท วัฏฏะ คลาสสิฟายด์ส จำกัด
สิ่งที่ส่งมาด้วย 1. ประวัติย่อ
                        2. ใบรับรองการศึกษา
                        3. รูปถ่าย
         ดิฉันทราบจากโฆษณาในหนังสือพิมพ์งานวันนี้ ฉบับที่ 149 วันที่ 12-14กุมภาพันธ์ ว่าทางบริษัทของท่านต้องการรับสมัครพนักงานใน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์อักษร ดิฉันมีความสนใจมาก จึงมีความประสงค์จะขอสมัครงานในตำแหน่งดังกล่าว ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
           ประการแรก บริษัทของท่านเป็นหน่วยงานที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่ใช้บริการโฆษณาย่อยจากหนังสือพิมพ์ ในเครือของท่าน
           ประการที่สองดิฉันมีความสนใจงานด้านสื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านการพิสูจน์อักษร ซึ่งเป็นงานที่ดิฉันมั่นใจว่าจะสามารถใช้ความรู้และ ความสามารถที่เรียนมาทางด้านอักษรศาสตร์ วิชาเอกภาษาไทย ในระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยไทย ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เป็นระหว่างที่ศึกษาอยู่ ในระดับปริญญาตรี ดิฉันได้ทำกิจกรรมนอกหลักสูตรหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งดังกล่าว
          ดิฉันจึงมีความมั่น\ใจเป็นอย่างยิ่งว่า ดิฉันจะสามารถปฏิบัติงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์อักษรได้ดี และหากท่านต้องการตรวจสอบประวัติของดิฉัน โปรดติดต่อได้โดยตรง ยังผู้ที่มีรายชื่อในประวัติย่อของดิฉัน พร้อมกันนี้ ดิฉันได้จัดส่งเอกสารต่าง ๆ มาเพื่อประกอบการพิจารณาของท่านแล้ว
           ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความกรุณาจากท่าน ให้เข้าพบเพื่ออธิบายในรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม โดยท่านสามารถติดต่อดิฉันได้เบอร์โทรศัพท์ 02-0444212 และขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งต่อความกรุณาของท่านมา ณ ที่นี้
                                                                                             


                                                                                                   ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
                                                                                             (นางสาวชนานันท์ โรจนรุ่งเรืองพร)

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทความของตัวเอง

คำพูดเปรียบดั่งยาพิษ


                 วาจาที่เป็นยาพิษ คนฟังมีสิทธิ์ฆ่าตัวตายได้คำพูดมีอิทธิพลต่อคนเราอย่างมาก สามารถสร้างมิตรก็ได้ สร้างศัตรูก็ได้หรือพูดแล้วทำให้คนฟัง รู้สึกดีมีความหวังหรือรู้สึกเจ็บปวดก็ได้อีกเช่นกัน บางครั้งอาจเจ็บลึกกว่าด้วยซ้ำเพราะเจ็บที่ใจย่อมลืมเลือนได้ยากและในความเป็นจริงแผลใจก็มักจะหายช้ากว่าแผลกาย
กว่าจะทำใจหรือลบเลือนออกไปได้ บางคนอาจให้เวลายาวนานดังนั้น จะพูดจาอะไรก็ควรระมัดระวัง โดยเฉพาะกับคนที่อ่อนไหวมีจิตใจเปราะบางคำพูดของคุณมีโอกาสที่จะทำร้ายความรู้สึกของเขาได้มากจนคุณอาจจะนึกไม่ถึงทีเดียว อย่างคนที่มีประวัติเคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว
จิตใจของเขาจะหวั่นไหวง่าย คำพูดที่ไม่ควรพูดกับคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด คือ คำพูดในเชิงเย้ยหยันทำนองว่า "ไหนเก่งจริงก็ต้องทำ (ฆ่าตัวตาย) ให้สำเร็จสิ"ซึ่งเท่ากับเป็นการยั่วยุให้อีกฝ่ายลงมือฆ่าตัวตายซ้ำ กรณีแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อมีคนพูดออกมาอย่างไม่คิดว่า"ที่เคยฆ่าตัวตายไม่เห็นจะตายจริงเลย" อีกฝ่ายก็โต้กลับทันควันว่า"เดี๋ยวจะทำให้ดู" จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งห้อยขาอยู่บนระเบียงตึกสูง ๆ
เป็นที่น่าหวาดเสียวของผู้พบเห็นโชคดีที่มีคนช่วยเกลี้ยกล่อมให้เลิกล้มความคิดที่จะกระโดลงมาก
ไม่อย่างนั้นก็คงกลายเป็นโศกนาฏกรรมอีกรายวาจาที่เป็นยาพิษอีกแบบหนึ่ง คือ การพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าไม่เป็นที่ต้องการของใคร ๆ เช่น แม่ที่พูดกับลูกด้วยอารมณ์โกรธว่า"อยู่ลำบากนักก็ไปตายเสีย" หรือ "อยู่ไปก็รังแต่จะทำให้คนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจ"กรณีดังกล่าวมีจริง ๆ มีเด็กคนหนึ่งกินยาเพื่อฆ่าตัวตายหลังจากช่วยชีวิตไว้ได้แล้ว จิตแพทย์ได้เข้ามาพูดคุย และพบว่าทุกครั้งที่แม่ของเด็กคนนั้นโกรธขึ้นมาแม่ก็จะพูดประชดให้ลูกไปกินยาตายเสีย และปรากฏว่าลูกก็ทำจริง ๆเป็นเรื่องน่าเศร้า ถ้าพลั้งเผลอพูดอะไรออกไปโดยไม่ยั้งคิดแล้วทำให้อีกฝ่ายถึงกับคิดสั้นเพราะตัวผู้พูดเองก็คงหนีไม่พ้นความรู้สึกผิดที่จะติดฝังอยู่ในในนานเท่านานดีไม่ดี อาจทำให้สุขภาพจิตเสียไปอีกดังนั้นต่อจากนี้ไป ขอให้พวกเราทุกคนช่วยกันระมัดระวังคำพูดให้มาก ๆโดยเฉพาะวาจาทั้งสองแบบข้างต้นซึ่งจัดเป็นคำพูดอันตรายที่สามารถผลักดันให้คนลงมือฆ่าตัวตายได้และเมื่อใดก็ตาม ที่มีการพยายามฆ่าตัวตายเกิดขึ้น โปรดอย่ามองว่าเขาทำเพื่อเรียกร้องความสนใจเลย เพราะการที่ใครสักคนพยายามทำร้ายตัวเองนั่นหมายถึง เขาส่งสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือ เนื่องจากในขณะนั้นเขากำลังมีความทุกข์ใจแสนสาหัส จนไม่สามารถช่วยตัวเองได้เขากำลังอยู่ในความสับสนระหว่างความรู้สึกอยากตายและอยากที่จะมีชีวิตอยู่
เสมือนกับคนที่ กำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่งถ้ามีใครสามารถช่วยทำให้เขามีความหวังเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งได้เขาก็พร้อมจะเลือกการมีชีวิตอยู่ต่อไป

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทุกข์ของชาวนาในบทกวี


ความเป็นมา
บทความเรื่อง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี มีที่มาจากหนังสือรวมบทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรื่อง มณีพลอยร้อยแสง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2533 ในวโรกาสที่พระองค์ทรงพระเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ โดยนิสิต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นที่ 41 หนังสือรวมบทพระราชนิพนธ์เรื่อง มณีพลอยร้อยแสง แบ่งเนื้อหาออกเป็น 11 หมวด ด้วยกัน คือ กลั่นแสงกรองกานท์, เสียงพิณเสียงเลื่อน เสียงเอื้อนเสียงขับ, เรียงร้อยถ้อยดนตรี, ชวนคิดพิจิตรภาษา, นานาโวหาร, คำขานไพรัช, สมบัติภูมิปัญญา, ธาราความคิด, นิทิศบรรณา,สาราจากใจ และ มาลัยปกิณกะ ในหมวด ชวนคิดพิจิตรภาษา เป็นพระราชนิพนธ์บทความและบทอภิปรายรวม 4 เรื่อง คือ ภาษาไทยกับคนไทย, การใช้สสรพนาม, วิจารย์คำอธิบายเรื่องนามกิตก์ในไวยากรณ์บาลีและ ทุกข์ของชาวนาในบทกวี

ประวัติผู้แต่ง
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงประกอบพระราชกรณียกิจหลายประการ เช่น ด้านดนตรีไทย ทรงพระปรีชาสามารถในการขับร้องเพลงและทรงบรรเลงดนตรีไทยได้หลายประเภท ด้านภาษาและวรรณคดี ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมร้อยแก้ว ร้อยกรอง และงานแปลงานพระราชนิพนธ์ที่รู้จักแพร่หลาย ได้แก่ ย่ำแดนมังกร ผีเสื้อแก้วจอมแก่น แก้วจอมซน ดั่งดวงแก้ว เป็นต้น ทั้งนี้ในงานพระราชนิพนธ์แต่ละเรื่อง พระองค์จะทรงใช้พระนามแฝงที่แตกต่างกันไป เช่น ก้อนหิน แว่นแก้ว หนูน้อย เป็นต้น นอกจากนี้ยังประกอบพระราชกรณียกิจในด้านการศึกษา การพัฒนาสังคม โดยมีโครงการใน พระราชดำริส่วนพระองค์หลายโครงการโดยมุ่งเน้นทางด้านการแก้ปัญหาการขาดสารอาหารของเด็กในท้องถิ่นทุรกันดารและพัฒนามาสู่การให้ความสำคัญทางด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคคลอย่างสมบูรณ์

ลักษณะคำประพันธ์
ทุกข์ของชาวนาในบทกวี เป็น บทความแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นบทความที่มีจุดมุ่งหมายที่แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ความคิดเห็นที่นำเสนอได้มาจากการวิเคราะห์ การใช้วิจารณญาณไตร่ตรองของผู้เขียน โดยผ่านการสำรวจปัญหา ที่มาของเรื่อง และข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียด ความคิดเห็นที่นำเสนออาจจะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาตามทัศนะของผู้เขียนหรือการโต้แย้งความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีมาก่อนอย่างไรก็ตาม บทความแสดงความคิดเห็นที่ดีควรนำเสนอทัศนะใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครคิด หรือเสนอทัศนะที่มีเหตุผลเป็นการส้างสรรค์ ไม่ใช่บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของความคิดเห็นที่นำเสนอนั้นขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ปัญหา การใช้ปัญหาไตร่ตรองโดยปราศจากอคติและการแสดงถึงเจตนาดีของผู้เขียนที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

จุดมุ่งหมาย
1.เขียนรายงานทางวิชาการได้ถูกต้อง
2. ศึกษาหาความรู้และสามารถนำมาถ่ายทอดได้
3. พูดรายงานได้ตามวัตถุประสงค์

เรื่องย่อ
เนื้อความในตอนแรกของบทความเรื่อง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้ทรงยกบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งกล่าวถึงชีวิตและความทุกข์ยากของชาวนา ในตอนต่อมาทรงแปลบทกวีจีนของหลี่เชินเป็นภาษาไทย ทำให้มองเห็นภาพของชาวนาจีนเมื่อเปรียบเทียบกับชาวนาไทยว่ามิได้มีความแตกต่างกันแม้ในฤดูกาลเพาะปลูก ซึ่งภูมิอากาศเอื้อให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นของผู้ผลิต คือชาวนาเท่าที่ควร และส่วนที่สำคัญที่สุด คือ ทรงชี้ให้เห็นว่าแม้ จิตร ภูมิศักดิ์และหลี่เชินจะมีกลวิธีการนำเสนอบทกวีที่แตกต่างกัน แต่กวีทั้งสองท่านกลับมีแนวคิดที่คล้ายคลึงกัน คือ มุ่งที่จะกล่าวถึงความทุกข์ยากของชาวนาและทำให้เห็นว่าชาวนาในทุกแห่งและทุกสมัยล้วนประสบแต่ความทุกข์ยากไม่ต่างกัน

คำศัพท์
กำซาบ ซึมเข้าไป
เขียวคาว สีเขียวของข้าว ซึ่งน่าจะหอมสดชื่น แต่ในบทกวีกลับมีกลิ่นเหม็นคาว เพราะข้าวนี้เกิดจากหยาดเหงื่อซึ่งแสดงถึงความทุกข์ยากและความขมขื่นของชาวนา
ธัญพืช มาจากภาษาบาลีว่า ธญฺญพืช เช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด ที่ให้เมล็ดเป็นอาหารหลัก
ประกันราคา การที่รัฐ เอกชน หรือองค์กรต่างๆ รับประกันที่จะรับซื้อผลผลิตตามราคาที่ได้กำหนดไว้ในอนาคต ไม่ว่าราคาในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตามเปิบหรือ เปิบข้าว หมายถึง วิธีการใช้ปลายนิ้วทั้งห้าหยิบข้าวใส่ปากตนเอง
ภาคบริการ อาชีพที่ให้บริการผู้อื่น เช่น พนักงานในร้านอาหาร ช่างเสริมสวย
ลำเลิก กล่าวทวงบุญคุณ กล่าวคำตัดพ้อต่อว่า โดยยกเอาความดีที่ตนทำไว้ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้สำนึกถึงบุญคุณ
สวัสดิการ การให้สิ่งที่เอื้ออำนวยให้ผู้ทำงานมีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสะดวกสบาย เช่น มีสถานพยาบาล มีที่พักอาศัย จัดรถรับส่ง
สู สรรพนามบุรุษที่ ๒ เป็นคำโบราณ
อาจิณ ประจำ

บทวิเคราะห์

1) คุณค่าด้านภาษา กลวิธีการแต่ง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี นับเป็นตัวอย่างอันดีของบทความทีสามารถยึดถือเป็นแบบอย่างได้ ด้วยแสดงให้เห็นแนววความคิดชัดเจน ลำดับเรื่องราวเข้าใจง่ายและมีส่วนประกอบของงานเขียนประเภทบทความอย่างครบถ้วน คือ
- ส่วนนำ กล่าวถึงบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ที่ทรงได้ยินได้ฟังมาในอดีตมาประกอบในการเขียนบทความ
- เนื้อเรื่อง วิจารณ์เกี่ยวกับกลวิธีการนำเสนอบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ และของหลี่เชินโดยทรงยกเหตุผลต่างๆและทรงแสดงทัศนะประกอบ เช่น
“…ชวนให้คิดว่าเรื่องจริงๆนั้น ชาวนาจะมีโอกาสไหมที่จะ ลำเลิก กับใครๆ ว่าถ้าไม่มีคนที่คอยเหนื่อยยากตรากตรำอย่างพวกเขา คนอื่นๆ จะเอาอะไรกิน...”
- ส่วนสรุป สรุปความเพียงสั้นๆแต่ลึกซึ้ง ด้วยการตอกย้ำเรื่องความทุกข์ยากของชาวนา ไม่ว่ายุคสมัยใดก็เกิดปัญหหาเช่นนี้ ดังความที่ว่า
“…ฉะนั้นก่อนที่ทุกคนจะหันไปกินอาหารเม็ดเหมือนนักบินอวกาศ เรื่องความทุกข์ของชาวนาก็คงเป็นแรงสร้างความสะเทือนใจให้แก่กวียุคคอมพิวเตอร์สืบต่อไป…”
สำหรับกลวิธีการอธิบายนั้นให้ความรู้เชิงวรรณคดีเปรยบเทียบแก่ผู้อ่าน โดยทรงใช้การเปรียบเทียบวิธีการนำเสนอของบทกวีไทยและบทกวีจีน ว่า
“ เทคนิคในการเขียนของหลี่เชินกับของจิตรต่างกัน คือ หลี่เชินบรรยายภาพที่เห็นเหมือนจิตรกรวาดภพให้คนชม ส่วนจิตรใช้วิธีเสมือนกับนำชาวนามาบรรยายเรื่องของตนให้ผู้อ่านฟังได้ด้วยตนเอง ”

บทกวีของหลี่เชินเป็นบทกวีที่เรียบง่าย แต่แสดงความขัดแย้งอย่างชัดเจน คือ แม้ว่าในฤดูกาลเพาะปลูก ภูมิอากาศจะเอื้ออำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นของผู้ผลิต คือชาวนาหรือเกษตรกรเท่าที่ควร ซี่งหลี่เชินได้บรรยายภาพทั่เห็นเหมือน จิตรกรวาดภาพให้คนชม ส่วนจิตร ภูมิศักดิ์ ใช้กลวิธีการบรรยายเสมือนว่าชาวนาเป็นผู้บรรยาย เรื่องราวให้ผู้อ่านฟังด้วยตนเองอย่างไรก็ตาม แนวคิดของกวีทั้งสองคนก็คล้ายคลึงกัน คือต้องการสื่อให้ผู้อ่านได้เห็นว่าสภาพชีวิตชาวนาในทุกแงและทุกสมัย ประสบความทุกข์ยากไม่แตกต่างกัน

คุณค่าด้านสังคมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเริ่มต้นด้วยการยกบกกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งแต่งด้วยกาพย์ยานี ๑๑ จำนวน ๕ บทมีเนื้อหาเกี่ยวกับความยากลำบากของชาวนาที่ปลูกข้าวซึ่งเป็นอาหารสำคัญของคนทุกชนชั้น พระองค์ทรงเห็นด้วยกับบทกวีนี้และยังทรงกล่าวอีกว่าเนื้อหาบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ สอดคล้องกับบทกวีของหลี่เชิน กวีชาวจีนที่แต่งไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง แสดงไห้เห็นว่าชีวิตของชาวนาไม่ว่าที่แห่งใดในโลก จะเป็นไทยหรือจีนจะเป็นสมัยใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความยากแค้นลำเค็ญเช่นเดียวกัน
ดังนั้นแนวคิดสำคัญของบทความพระราชนิพนธ์เรื่อง ทุกของชาวนาในบทกวี จึงอยู่ที่ความทุกข์ของชาวนาและสภาพชีวิตของชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ ดังความที่ว่า
“...แม้ว่าในฤดูกาลนั้นภูมิอากาศจะอำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารสมบูรณ์ดี แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นประโยชน์ผู้ผลิตเท่าที่ควร”

ข้อคิดที่ได้รับ
1.ได้รู้ความสำคัญเกี่ยวกับอาชีพของชาวนาว่าเป็นยังไง
2.ได้รู้ว่าชาวนาต้องลำบากเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ได้ตามความต้อการ 3.ได้รู้ว่า ทั้ง หลี่เจินและจิตร ภูมิศักดิ์ ได้เห็นความสำคัญเกี่ยวกับชาวนา

ความรู้เพิ่มเติม
จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นนักวิชาการคนสำคัญคนหนึ่ง ของไทยที่มีผลงานทางวิชาการ ที่แปลใหม่และลึกซึ้ง รวมทั้งยังมีแนวคิดต่อต้านระบบเผด็จการและการใช้อำอาจกดขี่ของคนชั้นสูง นอกจากนี้ยังมีความเชี่ยวชาญในด้านภาษาศาสตร์ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมรเป็นอย่างมาก วานนิพนธ์ที่โดเด่น ได้แก่ ภาษาและนิรุกติศาสตร์,โองการแช่งน้ำและข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา,ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม,ที่มาของคำสยาม ไทย สาว และขอม,ลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ,โฉมหน้าศักดินาไทย และบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งผลงานสามเรื่องหลังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งร้อยหนังสือดีที่คนไทยควรอ่าน

เท้าดอกบัว Foot Binding (บทความที่น่าสนใจ)




เท้าดอกบัวทองเท้าดอกบัว


Foot Binding เท้าดอกบัว เป็นค่านิยมของหญิงงามชาวจีนในยุคศตวรรษที่ 10 และได้เสื่อมความนิยมลงในยุคศตวรรษที่ 20 เมื่อเด็กหญิงชาวจีนทีมีอายุประมาณ 3 - 6 ขวบ จะถูกมัดเท้าด้วยผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย อย่างแน่นหนา เพื่อหยุดยั้งไม่ให้เท้าเจริญเติบโตตามปกติ แต่เนื่องจากเท้ายังคงมีการเจริญโตอยู่ สิ่งที่ได้ก็คือการทำให้เท้าเกิดการเจริญเติบโตอย่างผิดรูป ทำให้เท้าของพวกเธอมีขนาดเพียง 10 -15 เซ็นติเมตรเท่านั้น และหญิงสาวที่มีเท้าเล็กมากจะได้รับการยกย่องว่าเป็น "เท้าดอกบัวทอง"
ขั้นตอนการทำเท้าดอกบัว

เท้าจะถูกชโลมด้วย น้ำยาออุ่นสูตรพิเศษ ที่มีส่วนผสมของสมุนไพร และเลือดสัตว์ น้ำยานี้จะทำให้เท้าอ่อนลงเพื่อง่ายต่อการมัดเท้าให้เล็ก
เล็บเท้าจะถูกถอดออก เพื่อป้องกันการงอกใหม่ และป้องกันการติดเชื้อที่บริเวณนิ้วเท้า
นิ้วเท้าทั้งแปดจะถูกหักลง ยกเว้นนิ้วโป้ง แล้วห่อมัดเท้าให้อยู่ในรูปทรงที่ต้องการ
กำเนิดและความเชื่อเรื่องเท้าดอกบัว
ที่มาที่ไปของการรัดเท้านั้น มีเรื่องเล่าว่า ในยุคต้นศตรวรรษี่ 10 จักรพรรดิ Li Yu แห่ง ราชวงศ์ถัง ได้สั่งให้นางทาสรัดเท้าของเธอด้วยผ้าไหม และขึ้นไปร่ายรำบนเวทีที่โรยด้วยดอกบัวทอง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ประเพณีการรัดเท้ากับดอกบัวทองจึงเป็นของคู่กันมา
บางกระแส ก็บอกว่า การรัดเท้าเป็นแผนที่ผู้ชายสมัยนั้นคิดขึ้นได้อย่างแยบยล เนื่องจาก ในสมัยนั้นจักรพรรดิเกรงว่า เหล่านางสนม นางบำเรอ ที่มีเท้าปกติดี จะหลบหนีออกนอกวังได้อย่างสะดวก สบาย อย่ากระนั้นเลย คิดแผนนี้ขึ้นมาดีกว่า และก็ได้ผลจริงๆด้วย
มีความเชื่อว่าผู้หญิงที่มีเท้าเล็กจะมีผู้ชายที่ดีๆ ร่ำรวยมาสู่ขอ

เท้าดอกบัวความเชื่อรัดเท้าFoot Binding


ที่มา:http://wowboom.blogspot.com/2009/04/foot-binding.html
เหตุผลที่เลือกบทความนี้: เนื่องจากว่าบทความนี้มีความแปลกใหม่และน่าสนใจของค่านิยมในสมัยก่อนของผู้หญิงชาวจีน ทำให้ได้รู้ว่าค่านิยมต่างๆล้วปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาได้เช่นเดียวกันกับความเชื่อและมีความแตกต่างกันไปตามสังคมและวัฒนธรรม


วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มงคลสูตรคำฉันท์



ไม่คบคนพาล
 คนพาล คือคนที่มีใจขุ่นมัวเป็นปกติ เป็นผลให้มีความเห็นผิด ยึดถือค่านิยมผิดๆ และมีวินิจฉัยเสีย คือไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรควร อะไรไม่ควรเช่น บัณฑิตเห็นว่า “เหล้า” เป็นของไม่ดี ทำให้ขาดสติ นำความเสื่อมมาให้นานัปการ แต่คนพาลกลับเห็นว่า “เหล้า” เป็นของประเสริฐ เป็นเครื่องกระชับมิตร ถ้าเราคบคนพาลคนเหล่านั้นจะชักชวนเราไปทำในสิ่งที่ไม่ดี ที่ไม่ควร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำเราสู่ความเสื่อมเสีย และเราอาจจะหมดอนาคตในที่สุด

มีความกตัญญู
ใครก็ตามที่เคยมีพระคุณต่อเราเช้น พ่อ แม่ ครูอาจารย์ ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงไร เราจะต้องกตัญญูรู้คุณท่าน ติดตามระลึกถึงเสมอด้วยความซาบซึ้งพยายามหาโอกาสตอบแทนคุณท่านให้ได้ การตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น บุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกัน แต่หมายถึงการรำลึกถึงพระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง 

ความเป็นพหูสูต
พหูสูต หมายถึง ผู้ที่มีความรอบรู้ หรือพูดสั้นๆ ว่า "ฉลาดรู้" ความเป็นผู้ฉลาดรู้ คือเป็นผู้ที่รู้จักเลือกเรียน ในสิ่งที่ควรรู้ เป็นผู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมามาก ได้ยินได้ฟังได้อ่านมามาก ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นต้นทางแห่งปัญญา ทำให้เกิดความรู้สำหรับบริหารงานชีวิต และเป็นกุญแจไขไปสู่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และทุกสิ่งที่เราปรารถนา